ความเป็นมาของอาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรสุโขทัย เกิดจากความรักชาติ ความเสียสละ และความสามารถของบรรพบุรุษไทย ในตอนปลายพุทธศตวรรษที่ 18 ได้มีพัฒนาการที่เป็นปึกแผ่นมั่นคง มีความเจริญก้าวหน้า ด้านการเมืองการปกครอง ด้านเศรษฐกิจ ด้านสังคม ด้านศิลปวัฒนธรรม จากผลงานและความสามารถของบรรพบุรุษไทยเป็นผู้สร้างมรดกทางวัฒนธรรม และเป็นรากฐานของการพัฒนาชาติบ้านเมืองสืบทอดมาเป็นลำดับ การสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย อาณาจักรสุโขทัย นับเป็นอาณาจักรของคนไทยที่ได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นราชธานีใน ปี พ.ศ. 1762 ก่อนหน้าที่จะมีการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้นมา ได้มีเมืองสุโขทัยที่มีความเก่าแก่ เจริญรุ่งเรืองมาก่อน ผลจากการตีความในศิลาจารึกสุโขทัยหลักที่ 2 ระบุว่าเดิมเมืองสุโขทัยมี ผู้นำคนไทยชื่อพ่อขุนศรีนาวนำถุม เป็นเจ้าเมืองปกครองอยู่ ภายหลังเมื่อพ่อขุนศรีนาวนำถุมสิ้นพระชนม์แล้ว ขอมสมาดโขลญลำพง* เป็นนายทหารขอมที่เป็นใหญ่ ได้นำกำลังทหารเข้ายึดเมืองสุโขทัยไว้ได้ ทางฝ่ายไทยได้มีการเตรียมการเพื่อยึดเมืองสุโขทัยกลับคืนจาก ขอมสมาดโขลญลำพง โดยมีผู้นำไทย 2 คน ได้แก่ พ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง และ พ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราด พ่อขุนทั้งสอง เป็นสหายสนิทกัน และมีความสัมพันธ์กันทางเครือญาติ ร่วมกันนำกำลังเข้าชิงเมืองสุโขทัยกลับคืนมา เมื่อยึดเมืองสุโขทัยจากขอมได้เรียบร้อยแล้ว พ่อขุนผาเมืองได้ยกทัพออกจากเมืองสุโขทัย เพื่อให้กองทัพของพ่อขุนบางกลางหาวเข้าสู่เมืองสุโขทัย พร้อมกันนั้น พ่อขุนผาเมืองทรงสถาปนาพ่อขุนบางกลางหาวขึ้นเป็นกษัตริย์ครองเมืองสุโขทัย แล้วถวายพระนามของพระองค์ที่ได้รับจากกษัตริย์ขอม คือ ศรีอินทรบดินทราทิตย์ ให้เป็นเกียรติแก่พ่อขุนบางกลางหาว พร้อมทั้งมอบพระขรรค์ไชยศรี แต่พ่อขุนบางกลางหาว ทรงใช้พระนามใหม่ว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์พระร่วง ของอาณาจักรสุโขทัย นับตั้งแต่พ.ศ. 1762 เป็นต้นมา อาณาจักรสุโขทัยได้กลายเป็นศูนย์กลางที่มี อาณาเขตกว้างขวางมีหัวเมืองต่าง ๆ ที่คนไทยรวมตัวกันอยู่เป็นส่วนหนึ่งในอาณาจักรที่ตั้งขึ้นใหม่ ปัจจัยที่เอื้อต่อการสถาปนาอาณาจักรสุโขทัย 1. ขอมเสื่อมอำนาจลง หลังจากพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 (ครองราชย์เมื่อ พ.ศ. 1724-1761) สิ้นพระชนม์ พระเจ้าอินทรวรมันที่ 2 ปกครองต่อมาอ่อนแอ ขาดความเข้มแข็ง จึงเกิดช่องว่างของอำนาจทางการเมืองขึ้นในดินแดนแถบนี้ เปิดโอกาสให้บรรดาหัวเมืองต่างๆเติบโต และตั้งตนเป็นอิสระ 2. ความสามารถของผู้นำและความสามัคคีของคนไทย ได้แก่ พ่อขุนผาเมืองเจ้าเมืองราดและพ่อขุนบางกลางหาว เจ้าเมืองบางยาง ได้ร่วมกันผนึกกำลังต่อสู้นายทหารขอม จนได้รับชัยชนะ สามารถประกาศตนเป็นอิสระจากอิทธิพลของขอม พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรสุโขทัย และมีพระมหากษัตริย์ปกครองสืบต่อกันมา 9 พระองค์ ดังนี้
รายพระนามพระมหากษัตริย์ของอาณาจักรสุโขทัยหรือราชวงศ์พระร่วง
ศาสตราจารย์ ดร.ประเสริฐ ณ นคร ได้สรุปจำนวนกษัตริย์และปีที่ครองราชสมบัติไว้ ดังนี้ |
วันอังคารที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2558
ความเป็นมาของอาณาจักรสุโขทัย
การแบ่งยุคของสมัยก่อนประวัติศาสตร์
การตั้งถิ่นฐานของมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ในดินแดนประเทศไทยสมัยก่อนประวัติศาสตร์
สมัยก่อนประวัติศาสตร์ หมายถึง ระยะเวลาในอดีตที่มนุษย์ยังไม่รู้จักการบันทึกเรื่องราวต่างๆ ไว้เป็นลายลักษณ์อักษร เนื่องจากเป็นสมัยที่ยังไม่พบหลักฐานเป็นตัวหนังสือ หลักฐานสมัยก่อนประวัติศาสตร์แบ่งย่อยเป็น 3 ประเภทดังนี้
1. โบราณสถาน ได้แก่ แหล่งที่อยู่อาศัย เช่น ถ้ำ เพิงผาหิน เป็นดินใกล้แหล่งน้ำ
2. โบราณวัตถุ ได้แก่ เครื่องมือหินกะเทาะหยาบ เครื่องมือหินขัด เครื่องสำริดและเหล็ก เครื่องปั้นดินเผา ลูกปัดที่ทำด้วยดินเผาและหินสี เปลือกหอย โครงกระดูกมนุษย์และสัตว์
3. โบราณศิลปกรรม ได้แก่ ภาพเขียนสีและภาพจำหลัก ซึ่งล้วนแล้วได้ทำขึ้นบนผนังถ้ำหรือเพิงผา
การแบ่งยุคของสมัยก่อนประวัติศาสตร์




ภาพโครงกระดูกมนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์
ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเก่า จ.กาญจนบุรี
ที่มาภาพ ประวัติศาสตร์ไทยเชิงวิเคราะห์ กรมวิชาการ. หน้า 8.
ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเก่า จ.กาญจนบุรี
ที่มาภาพ ประวัติศาสตร์ไทยเชิงวิเคราะห์ กรมวิชาการ. หน้า 8.
การแบ่งยุคของสมัยก่อนประวัติศาสตร์
การศึกษาค้นคว้า เรื่องราวเกี่ยวกับสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ส่วนใหญ่ใช้เครื่องมือใช้ที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น การแบ่งยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ แบ่งตามชนิดของวัสดุและวิธีการนำวัสดุมาใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิต โดยแบ่งออกเป็น 2 ยุคใหญ่ๆ ได้แก่
การศึกษาค้นคว้า เรื่องราวเกี่ยวกับสมัยก่อนประวัติศาสตร์ ส่วนใหญ่ใช้เครื่องมือใช้ที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้น การแบ่งยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์ แบ่งตามชนิดของวัสดุและวิธีการนำวัสดุมาใช้ประโยชน์ในการดำรงชีวิต โดยแบ่งออกเป็น 2 ยุคใหญ่ๆ ได้แก่
- ยุคหิน
- ยุคโลหะ
1. ยุคหิน เป็นยุคที่มนุษย์รู้จักการใช้หินเป็นเครื่องมือเครื่องใช้ แบ่งย่อยออกเป็นยุคหินเก่า
ยุคหินกลาง และยุคหินใหม่
ยุคหินกลาง และยุคหินใหม่


ประกอบชิ้นส่วนของกะโหลกมนุษย์ปักกิ่ง ภาพสันนิษฐานของมนุษย์ปักกิ่ง
ที่มาภาพ ที่มาภาพ http://image.dek-d.com/ 22/1107251/102204911


ภาพขวานหินกะเทาะยุดหินเก่าอายุ 4000-10,000 ปี
พบที่ อ.บ่อพลอย จ.กาญจนาบุรี
ที่มาภาพ กรมวิชาการ ศธ, ลพบุรี
พบที่ อ.บ่อพลอย จ.กาญจนาบุรี
ที่มาภาพ กรมวิชาการ ศธ, ลพบุรี
มนุษย์สมัยหินเก่านำหินกรวด
1.1 ยุคหินเก่า มีอายุระหว่าง 500,000 – 10,000 ปีล่วงมาแล้ว มนุษย์ในหินเก่า ยังเป็น
พวกเร่รอน ไม่เป็นหลักแหล่ง อาศัยอยู่ตามถ้ำและเพิงผาพึ่งธรรมชาติ ใช้หินเป็นอาวุธในการล่าสัตว์
เก็บเผือก มัน และผลไม้เป็นอาหาร ใช้รากไม้ หรือใบไม้รักษาการเจ็บป่วย ยังไม่รู้จักการเลี้ยงสัตว์
และการทำเครื่องปั้นดินเผา เครื่องมือเครื่องใช้ทำด้วยหินกะเทาะหยาบด้านเดียว โดย ดร. แวน
ฮิกเกอร์แรน ชาวฮอลันดา ขณะเป็นเชลยศึกญี่ปุ่นก่อสร้างทางรถไฟสายมรณะที่จังหวัดกาญจนบุรี ในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่สองได้ขุดพบเครื่องมือหินกะเทาะ บริเวณใกล้สถานีรถไฟบ้านเก่า (ห่างจากตัวเมืองกาญจนบุรีไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ 35 กิโลเมตร) จากการตรวจสอบหลักฐานพบว่าเครื่องมือหินกะเทาะหยาบเหล่านี้มีมานานแล้ว แต่ไม่พบหลักฐานโครงกระดูกมนุษย์ยุคหินเก่าในดินแดนประเทศไทย ทำให้ไม่สามารถทราบได้ว่ามนุษย์ยุคหินเก่ามีรูปร่างอย่างไร การสันนิษฐานต้องอาศัยการเทียบเคียงรูปร่างของมนุษย์ยุคหินเก่าที่ขุดพบโครงกระดูกในประเทศจีน ได้แก่ มนุษย์ปักกิ่ง และที่เกาะชวาประเทศอินโดนีเซีย ได้แก่ มนุษย์ชวา นอกจากจะพบเครื่องมือหินเก่าที่จังหวัดกาญจนบุรีแล้ว ยังพบในบริเวณอื่นๆ เช่นพบที่ภูเขาถ้ำหินปูน จังหวัดเชียงใหม่ และดอยถ้ำพระ จังหวัดเชียงราย
1.2 ยุคหินกลาง มีอายุระหว่าง 10,000 – 7,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ในยุคหินกลางยังคงอาศัย อยู่ตามถ้ำและเพิงผาใกล้ลำธาร รู้จักปรับปรุงเครื่องมือเครื่องใช้ที่ทำจากหินให้มีความประณีตรูปปั้นจำลองวิถีชีวิตชีวิตความเป็นอยู่ของคนในสังคมล่าสัตว์และสังคมเกษตรกรรมในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเก่า
ที่มาภาพ http://61.19.236.136/tourist2009images/71/ 71-737/DSCF0114.jpg
รูปปั้นจำลองวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของคนที่อาศัยถ้ำและเพิงผาเป็นที่อยู่อาศัยในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเก่า
ที่มาภาพ http://www.muangkantoday.comimages/bankao.gif
มากขึ้น โดยมีการกะเทาะคมทั้ง 2 ด้าน มีการนำกระดูกสัตว์ และเปลือกหอยมาทำเครื่องมือเครื่องใช้ นอกจากนั้นยังได้มีการทำภาชนะเครื่องปั้นดินเผาอย่างง่ายเป็นหม้อ หม้อน้ำ และชาม
ผลจากการขุดค้นสำรวจของดร.เชตเตอร์ เกอร์แมน (Chester Gorman) นักโบราณคดีแห่งมหาวิทยาลัยฮาวาย ได้เคยสำรวจที่ถ้ำผี อำเภอเมือง จังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้พบหลักฐานของคนยุคก่อนประวัติศาสตร์อายุราว 1,200 ปี ซึ่งจัดเป็นพวกเดียวกับวัฒนธรรมหันบินห์หรือฮัอบินเหียนในเวียดนาม พบกระดูกของกวางป่า แมวป่า กระรอก ปู ปลา หอย พบเมล็ดพืชหลายชนิด เช่น หมาก
น้ำเต้า ถั่ว นอกจากนั้นที่บริเวณถ้ำผาชัน และถ้ำบุงฮุง จังหวัดแม่ฮ่องสอน เกอร์แมนได้พบหลักฐานของมนุษย์อายุราว 7,000 – 4,000 ปี พบโลงศพทำด้วยไม้คล้ายเรือขุดจากต้นซุง ลูกปัดและหม้อดินเผา ซากพืช เช่น ข้าวหมาก พลู พริกไทย กระดูกสัตว์ เช่น แรด หมูป่า กวาง วัวป่า

เครื่องมือหินกะเทาะยุคหินกลาง
ที่มาภาพ https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhQsvLBUgwyFWFUgeYOUE4T2akYulJMAYQb4fh67xSvvrEF_zl6B5WyYBCEhfWKfE25NnYff-M_JnFD53oIZ1K_PPA3T6taN8q1zuLBn2bF8h0f7DjV9kRUQYx1-b9siIg6CMU_UioeswwA/s400/300px-
Acheuleanhandaxe.jpg
1.3 ยุคหินใหม่ มีอายุระหว่าง 7,000 – 5,000 ปีมาแล้ว มนุษย์ในยุคหินใหม่พึ่งธรรมชาติน้อยลง รู้จักสร้างบ้านเรือนอยู่ริมน้ำหรือที่มีน้ำท่วมไม่ถึง รู้จักการเลี้ยงสัตว์ เพาะปลูก ทอผ้า รู้จักการทำเครื่องมือเครื่องใช้ด้วยหินที่ได้มีการพัฒนาขึ้น โดยการขัดให้เรียบ เรียกว่า ขวานหินขัดหรือ ขวานฟ้า ที่มีความคม ชัดเจน และยังรู้จักการนำหิน เปลือกหอย มาทำเครื่องประดับ เช่น ลูกปัด แหวน กำไลหิน มีการทำเครื่องปั้นดินเผาเป็นภาชนะขัดมันสีดำ มีทั้งแบบผิวเรียบและลวดลาย
โดยใช้เชือกทาบทำลวดลาย มีทั้งชนิดสามขา และชนิดไม่มีขาและรู้จักวาดภาพตามผนังถ้ำ ซึ่งได้มี
การขุดพบที่บ้านเก่าและที่ถ้ำพระ จังหวัดกาญจนบุรี ที่ผาแต้ม จังหวัดอุบลราชธานี1 นอกจากนั้นยังมีประเพณีการฝังศพคนตาย เมื่อมีคนตาย ญาติจะนำศพไปฝัง ในหลุมสี่เหลี่ยมผืนผ้า ไม่ใส่โลง จัดศพให้นอนท่าหงาย แขนทั้งสองข้างแนบกับร่าง มีการฝังศพโดยหันศีรษะไปทางทิศต่างๆ แต่ไม่พอ โครงกระดูกใดหันศีรษะไปทางทิศตะวันตกโดยวางเครื่องปั้นดินเผาไว้เหนือศีรษะ ปลายเท้าเหนือเข่า และยังใส่เครื่องใช้และเครื่องประดับลงไปในหลุมด้วย
2. ยุคโลหะ เริ่มต้นเมื่อประมาณระหว่าง 6,000 – 2,800 ปีมาแล้ว มนุษย์ยุคโลหะรู้จักพัฒนาเครื่องมือเครื่องใช้ โดยการนำโลหะมาทำเครื่องมือเครื่องใช้แทนหิน ยุคโลหะแบ่งออกเป็น 2 ยุค ดังนี้
เครื่องปั้นดินเผา ภาชนะเก็บอาหาร
ที่มาภาพ http://human.tru.ac.th/elearning/local/global01images/pic/new_stone02.jpg
2.1 ยุคสำริด มนุษย์ในยุคสำริดมีความรู้ทางเทคโนโลยี โดยรู้จักนำทองแดงและดีบุกมาหลอมผสมเป็นสำริด ประดิษฐ์เป็นเครื่องมือเครื่องใช้ เช่น หอก ใบหอก ขวาน กำไล เบ็ด และ
กลองมโหระทึก
กลองมโหระทึกที่มนุษย์ยุคสำริดประดิษฐ์ขึ้น
ที่มาภาพ http://janghuman.files.wordpress.com/2008/08/dsc03797.jpg
ที่มาภาพ http://janghuman.files.wordpress.com/2008/08/dsc03797.jpg
2.2 ยุคเหล็ก มนุษย์ในยุคเหล็กมีวิวัฒนาการสูงขึ้น รู้จักการถลุงเหล็ก เพื่อนำโลหะเหล็กมาทำเครื่องมือเครื่องใช้ ซึ่งมีคุณภาพดีแข็งแกร่งกว่าสำริด เครื่องใช้ที่มนุษย์ยุคเหล็กประดิษฐ์ขึ้น เช่น หอก ใบหอก ขวาน มนุษย์ในยุคเหล็ก พึ่งธรรมชาติน้อยลง รู้จักเพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ทอผ้า
ทำเครื่องนุ่งห่ม สร้างบ้านเรือน โดยรู้จักการพัฒนาขึ้นตามลำดับ นอกจากนี้ยังรู้จักการทำเครื่องปั้นดินเผา เป็นลวดลายหลายสี และรู้จักการทำเครื่องประดับ เช่น กำไล แหวน ลูกปัด ที่มีความประณีตงดงาม บริเวณที่มีการขุดพบร่องรอยของมนุษย์ในยุคโลหะ ได้แก่ ที่บ้านโนนนกทา อำเภอภูเวียง จังหวัดขอนแก่น ที่บ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ที่บ้านดอนตาเพชร อำเภอพนมทวน จังหวัดกาญจนบุรี

เครื่องมือเครื่องใช้ที่มนุษย์ในยุคเหล็กได้ประดิษฐ์ขึ้น
ที่มาภาพ http://e-learning.mae-ai.ac.th/courses/53/Bronzeage.jpg
ที่มาภาพ http://e-learning.mae-ai.ac.th/courses/53/Bronzeage.jpg
แหล่งอารยธรรมสมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่มีชื่อเสียง และรู้จักกันอย่างแพร่หลาย ได้แก่บริเวณบ้านเชียง อำเภอหนองหาน จังหวัดอุดรธานี ขุดพบโครงกระดูกมนุษย์และเครื่องมือเครื่องใช้มากมาย โดยเฉพาะภาชนะดินเผาที่มีความสวยงาม ประณีต เขียนสีเป็นลวดลายงดงาม ได้แก่ ลายก้นหอย ลายรูปสัตว์ ลายเส้นโค้ง และลายรูปเรขาคณิต น่าจะทำไว้สำหรับใช้ในพิธีฝังศพโดยเฉพาะพบใบหอกทำด้วยเหล็กด้ามหุ้มสำริด สันนิษฐานว่าบ้านเชียงเป็นแหล่งอารยธรรมในดินแดนประเทศไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนั้น มนุษย์ยุคโลหะรู้จักการทอผ้าไหม
ใช้แล้วมีหลักฐานจากใยไหมที่พบที่โครงกระดูกมนุษย์ที่บ้านเชียงและรู้จักการปลูกข้าว
โดยใช้ระบบชลประทานแทนการทำไร่เลื่อนลอย มีการใช้ควายในการไถนา
ใช้แล้วมีหลักฐานจากใยไหมที่พบที่โครงกระดูกมนุษย์ที่บ้านเชียงและรู้จักการปลูกข้าว
โดยใช้ระบบชลประทานแทนการทำไร่เลื่อนลอย มีการใช้ควายในการไถนา
นอกจากนั้นที่บ้านเชียง ได้มีการขุดพบโครงกระดูกมนุษย์เป็นจำนวนมาก ประเพณีการฝังศพจึงนับเป็นพิธีกรรมที่สำคัญของบ้านเชียงก่อนที่จะนำศพไปฝัง จะแต่งตัวให้กับผู้ตายและใส่เครื่องประดับ ลักษณะของศพฝังสมัยปลายของบ้านเชียงในลักษณะท่านอนเหยียดยาว แล้ววางภาชนะดินเผาทับไว้บนศพ ส่วนภาชนะดินเผาช่วงต้นของสมัยปลายจะเป็นการเขียนลายสีแดงบนพื้นสีนวล ต่อมาในช่วงกลางสมัยเริ่มมีภาชนะดินเผาเขียนลายสีแดงบนสีแดง ถัดมาในช่วงสุดท้ายของสมัยเริ่มมีภาชนะดินเผาชนิดฉาบผิวนอกด้วยน้ำโคลนสีแดง แล้วขัดมัน

ไหเขียนสีบ้านเชียงจัดแสดงไว้ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติบ้านเชียง
ที่มาภาพ อุดรธานี กำเนิดยุคก่อนประวัติศาสตร์ของอารยธรรม. หน้า 185.
ที่มาภาพ อุดรธานี กำเนิดยุคก่อนประวัติศาสตร์ของอารยธรรม. หน้า 185.

พิพิธภัณฑสถานกลางแจ้ง บ้านเชียงที่วัดโพธิ์ศรีใน
แสดงหลุมฝังศพที่มีภาชนะดินเผาลายเชียงสี วางบนศพ
ที่มาภาพ อุดรธานี กำเนิดยุคก่อนประวัติศาสตร์ของอารยธรรม. หน้า 184.
แสดงหลุมฝังศพที่มีภาชนะดินเผาลายเชียงสี วางบนศพ
ที่มาภาพ อุดรธานี กำเนิดยุคก่อนประวัติศาสตร์ของอารยธรรม. หน้า 184.

ประวัติความเป็นมาของชนชาติไทย
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)